"ไทยอีสานเเฮานี้ มีของดีอยู่หลายบ่อน ออนซอนข้าวในนาอีกทั้งปลาในน้ำให้คนเฮาได้เฮ็ดกิน ผักในป่าพร้อมเห็ดดงดอน เก็บมาเฮ็ดตั้งแต่ก่อนกี้ สู่มื้อนี้ยังคือเก่า คนบ้านเฮาฮักษาสืบฮอยตา วาฮอยปู่ ประเพณีวัฒนธรรมอันล้ำค่าจั่งยังมาให้ลูกหลาย...พี่น้องเอ้ย"
หากกล่าวถึงวิถีชีวิตของคนอีสาน ในบทความนี้ฉันนึกถึง "ความเป็นบ้านฉัน" รอยยิ้มที่ถูกส่งจากครอบครัวและญาติพี่น้อง รวมไปถึงผู้คนในหมู่บ้านเดียวกัน อันสะท้อนให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกซ่อนไว้ด้วยความหมายและนัยยะของการแสดงออกผ่านร่่างกายและวัจนะ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในหมู่บ้าน ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆเป็นสิ่งที่หล่อหลอมและแสดงถึงพลังของความเชื่อภายใต้การปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า "การสืบทอด" ซึ่งท้องถิ่นของฉันเรียกการปฎิบัติเช่นนี้ว่า "สืบฮอยตา วาฮอยปู่"
สืบฮอยตา วาฮอยปู่ ในช่วงเวลาของการเข้าสู่ "วันออกพรรษา" หมู่บ้านของฉันยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีภายใต้ความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดผ่านวิถีการดำเนินชีวิตและการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ โดยเรียกกันว่า "ประเพณีไหลเรือไฟ" ซึ่งฉันได้ทำหน้าที่ "ลูกหลาน" ในการรับรู้และสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้มาเช่นทุกปี และปีนี้ (2559) ก็คงเช่นกัน...
สำหรับการถ่ายทอดเรื่องราว "ประเพณีไหลเรือไฟ" ครั้งนี้ ฉันได้นำมาจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้และสัมผัส (จนถูกฝังอยู่ภายใน) อันมาจากหลายบริบท ทั้งความสนใจ หน้าที่ และวิถีที่ต้องปฏิบัติ "อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
.....................
.....................
แต่ฉันก็ชอบและประทับใจใน "ความเป็นบ้านเฮา"
"ประเพณีไหลเรือไฟ 2558 ณ หมู่บ้านชาติ ตำบลบ้านไทย อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี"
โดยการอ้างอิงจากส่วนหนึ่งในบทความของฉัน "มันทนา ขุมกลาง" โดยมีหัวข้อบทความชื่อ "ไหลเรือไฟ ของชาวบ้านชาติ เขื่องใน อุบลราชธานี : วิถีชุมชนกับการสื่อความหมายด้านความเชื่อและบทบาทการสร้างอำนาจทางสังคม" ที่ได้เขียนขึ้นในปีที่ผ่านมา (2558) ซึ่งบทความนี้ฉันได้สร้างสรรค์จากการเรียนในช่วงปริญญาตรี ขอขอบคุณ "ผศ.ชานนท์ ไชยทองดี" ผู้เป็นที่มาของการเขียนบทความ ขอขอบ "คุณครอบครัว ญาติพี่น้อง และผู้คนในหมู่บ้าน" ที่สนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งให้เกียรติเป็นองค์ประกอบของประเพณีไหลเรือไฟ และขอขอบคุณหมู่บ้านของฉัน "บ้านชาติ ต.บ้านไทย อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี" ที่เป็นพื้นที่ให้ฉันได้เรียนรู้หลายๆสิ่งที่ดีของ "ความเป็นอีสาน"
...
...
*เนื้อหาในบล็อคนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากบทความเท่านั้น
...
...
"ปล่อยเฮือไฟ หรือไหลเรือไฟ" เป็นประเพณีของชาวบ้านชาติ ตำบลบ้านไทย
อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งที่บริเวณรอบหมู่บ้านทางด้านทิศตะวันตกที่มีแม่น้ำชีไหลผ่าน
ซึ่งการไหลเรือไฟเป็นแนวปฏิบัติของชาวบ้านที่สืบต่อกันมาด้วยความเชื่อ
ความศรัทธาและเป็นข้อบังคับในวิถีวัฒนธรรมประเพณี จัดขึ้นในทุกๆปีหลังจากออกพรรษา คือ
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 โดยปรากฏในลักษณะของการสร้างวัตถุจากนามธรรม คือ
คำบอกกล่าว
เพื่อนำไปสู่รูปธรรมตามความคิดของชาวบ้านอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องราวที่เรียกว่า มุขปาฐะ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องด้านความเชื่อโดยเริ่มตั้งแต่สถานที่ บุคคล
สิ่งของ และเวลา ซึ่งล้วนต่างเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเรือไฟนั้นมีความหมายที่แฝงอยู่
และนำไปสู่การกำหนดแบบประพฤติปฏิบัติในเชิงของวัฒนธรรมประเพณีที่เชื่อมโยงกับอำนาจลี้ลับ ความเชื่อ
ตลอดจนจิตปรารถนาของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น
ทั้งนี้การไหลเรือไฟหรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “ปล่อยเฮือไฟ”
นั้น
ยังแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวของอำนาจที่ซ่อนอยู่เหนือธรรมชาติภายใต้บริบทของชุมชน
ซึ่งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านอันเป็นการ สร้างเครื่องมือเพื่อเตือนสติชาวบ้านให้เห็นคุณค่าอำนาจ และแนวปฏิบัติแบบชุมชนท้องถิ่น
เพื่อสร้างกลไกหรือแรงขับกระตุ้นให้บุคคลรู้สึกตัว มีสติ อันนำไปสู่การรู้จักกำหนดควบคุมตนเองให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นบนวิถีชุมชนที่เป็นไปในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้
การปล่อยเฮือไฟ หรือไหลเรือไฟ ยังมีบทบาทในการสร้างอำนาจทางสังคม กล่าวคือ
ชาวบ้านได้นำคำบอกกล่าวที่ได้เล่าสืบต่อกันมานั้นมาสร้างเป็นรูปธรรมให้เกิดความหมาย เพื่อสื่อให้เห็นถึงการแสดงตัวตนในชุมชน
การออกรับหน้าที่เพื่อเป็นกลไกในการสร้างความเชื่อมั่น สร้างแรงจูงใจ
หรือในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นการสร้างเครื่องมือในการจัดการกับอำนาจทางด้านการปกครองกันเองภายใต้บริบทของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงทางสังคม
การแสดงตัวตน บทบาท และหน้าที่ของผู้นำพร้อมทั้งสมาชิกในหมู่บ้านในการสร้าง "เรื่อไฟ" |
สาคร ยอดบุญ ปราชญ์ชาวบ้านในหมู่บ้าน
(และเป็นน้าของฉัน) เล่าว่า
แต่ก่อนแต่กี้เฮือไฟมันเป็นการเฮ็ดเพื่อเอาความโชคร้าย สิ่งบ่ดี
ความทุกข์ ความโศกเศร้าและกะโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงนั้นไปปล่อยลงน้ำ
แต่ว่ากะบ่ได้มีแค่ว่าเอาสิ่งบ่ดีในตัวของเฮาไปปล่อยถ่อนั้น
การปล่อยเฮือไฟมันยังเป็นการขอขมาลาโทษแม่น้ำชีที่ชาวบ้านเฮาได้ปล่อยของเสีย ขยะสิ่งสกปรก
ลงในน้ำตอนที่มาหากิน
หรืออีกอย่างหนึ่งกะขอบคุณแม่น้ำชีที่เพิ่นเป็นหม่องหาอาหารเลี้ยงชีวิตชาวบ้านเฮา
และกะเรื่องที่สำคัญที่สุดของการปล่อยเฮือไฟ กะคือการอุทิศหรือส่งข้าวของ เครื่องใช้
เงิน
พร้อมกับอาหารไปให้บรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว
เพื่อสิให้เพิ่นมีแนวใช้ในชีวิตภพภูมิหน้าของเพิ่น ส่วนการเฮ็ดรูปร่างของเฮือไฟกะบ่มีหยังหลายขอแค่ให้มันลอยได้ สิ่งที่เอาไปลอยกะคือต้นดอกเผิ่ง
ผู้ใหญ่เพิ่นสิเลือกเอาต้นที่งามที่สุดของมื้อแห่ต้นดอกเผิ่งวันออกพรรษานั้นมาไว้ถ้าใส่แพลอยชาวบ้านเผิ่นกัสิตั้งใจเฮ็ดต้นดอกเผิ่งของเจ้าของให้งามๆ ก่อนมื้อสิเฮ็ดกะประมาณเดือนหนึ่ง ชาวบ้านบ้านผู้ได๋สิเฮ็ดนิเพิ่นสิออกหาต้นกล้วยตานีใหญ่จับจองกัน
เพราะว่าถ้าต้นกล้วยใหญ่มันกะสิเฮ็ดต้นดอกเผิ่งได้งาม จนมาฮอดสู่มื้อนิบ้านเฮากะยังเอาต้นกล้วยมาเฮ็ดต้นดอกเผิ่ง และกะเฮ็ดใส่เฮือไฟ
รูปร่างของเฮือกะเลยแปรเปลี่ยนไปเรื่อยไปตามความคิดของชาวบ้านผู้เฮ็ด จากแพไม้ไผ่กะมาเป็นเฮืองามๆ พร้อมกับประดับตกแต่งด้วยดอกไม้แหน่ พวงมาลัยแหน่นั่น หล่ะ
จากประวัติเรื่องราวการปล่อยเฮือไฟหรือการไหลเรือไฟของชาวบ้านชาติ ตำบลบ้านไทย
อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี จะเห็นได้ว่าชาวบ้านมีความผูกพันกับธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ทางด้านการดำรงชีวิตที่ต่างอยู่ร่วมกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ชาวบ้านและระบบนิเวศนั้นเอื้อประโยชน์ต่อกัน โดยการทำเรือไฟ ชาวบ้านต้องใช้ต้นกล้วยทั้งที่ปลูกเองตามข้างรั้วบ้านเรือนหรือที่เกิดขึ้นเองตามริมแม่น้ำชี มาเป็นส่วนประกอบหลักในการทำเรือไฟ
ส่วนฐานหรือโครงร่างของเรือไฟนั้นก็ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นตามขิมฝั่งแม่น้ำชี ทั้งไม้ไผ่ลำสีเขียวบ้าง หรือลำสีน้ำตาลบ้าง
เพื่อใช้ถ่วงน้ำหนักให้สมดุลสำหรับการรองรับน้ำหนักของแพจากตันกล้วยตานีที่ใช้เป็นฐานของเรืออีกชั้นหนึ่ง
ลักษณะของเรือไฟที่สร้างเสร็จแล้ว |
ทั้งนี้ในกระบวนการของการไหลเรือไฟ
สถานที่ที่นำเรือไฟไปปล่อยลงสู่แม่น้ำชีนั้น
เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านต่างได้สัมผัสกับบรรยากาศของทรัพยากรธรรมชาติทั้งป่าไม้ สัตว์ป่า และความเย็นจากลำน้ำชี ซึ่งเรียกว่าท่าน้ำชี ในวันของการไหลเรือไฟชาวบ้านส่วนหนึ่งชาวบ้านส่วนหนึ่งต่างมุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำชีตั้งแต่ตอนเช้า เพื่อไปทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู
บริเวณศาลาท่าน้ำชี
รวมทั้งตัดเครือไม้เพื่อสร้างทางลงสู่แม่น้ำชี
ส่วนชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งเมื่อถึงเวลาสายๆต่างก็ทยอยกันไปที่ท่าน้ำชีเช่นกัน แต่ชาวบ้านส่วนหลังจะเดินทางไปพร้อมกับเสบียงอาหาร ถ้วยชาม
เสื่อ และสิ่งของอื่นๆ
ที่สำคัญคือเดินทางไปพร้อมกับเรือไฟที่ถูกจัดขึ้นรถไถแล้วนำไปสู่ท่าน้ำชี วิถีชีวิตของชาวบ้านในวันแรม 1
ค่ำ เดือน 11
นี้ล้วนใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าธรรมชาติลำน้ำชีในวันปล่อยเฮือไฟ คือ
การได้หวนกลับมาบ้านเกิดของตนเองอีกครั้ง
เพราะภายในจิตสำนึกของชาวบ้านต่างตระหนักรู้โดยทั่วกันว่าพวกเขาจะได้ติดต่อกับบรรพบุรุษ หรือญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาแต่ก็สามารถสื่อสารโดยที่บรรพบุรุษญาติพี่น้องเหล่านั้นรับรู้ นอกจากนี้การสร้างความสัมพันธ์ทางธรรมชาติของชาวบ้านชาติ ยังแสดงออกในลักษณะของการอนุรักษ์
สงวนไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติภายใต้บทบัญญัติพิธีกรรมทางศาสนา
โดยชาวบ้านชาติมีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ มีการทำขวัญป่า* ตลอดจนชาวบ้านชาติร่วมกัน กินข้าวป่า** มีการจับปลาในแม่น้ำชีมาทำเป็นอาหาร
ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับธรรมชาติที่เป็นจุดเด่นในการปล่อยเฮือไฟหรือไหลเรือไฟ คือ
การนำเรือไฟไปลอยตามลำน้ำชี
ในจุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำนึกของชาวบ้านทั้งการขอขมาลาโทษแม่น้ำชีในสิ่งที่ได้ล่วงเกิน การกล่าวขอบคุณแม่น้ำชีที่เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน
และขอความเมตตาช่วยเหลือจากแม่น้ำชีให้นำสิ่งของที่บรรจุอยู่ในเรือไฟนี้ไปให้บรรพบุรุษญาติพี่น้องที่ได้ล่วงลับหรือตายไปแล้ว
หลังจากนี้เรือไฟก็จะลอยไปตามกระแสลำน้ำชีโดยไม่มีใครรู้ได้ว่าปลายทางของเรือไฟนี้จะสิ้นสุด ณ
ที่แห่งใด
การไหลเรือไฟ ลงสู่แม่น้ำชี |
ความเชื่อในองค์ประกอบของเรือไฟ
ความเชื่อที่ผ่านองค์ประกอบของเรือไฟแต่ละสิ่ง
ล้วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้านและมีความหมายในการส่งสิ่งของเหล่านั้น
โดยองค์ประกอบของเรือไฟต่างมีความเชื่อโดยนัยแห่งความหมาย ดังนี้
- สถานที่ในการทำเรือไฟและประกอบพิธีไหลเรือไฟ สำหรับสถานที่ในการทำเรือไฟคือ วัด
ซึ่งเชื่อถึงการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆด้วยบุญกุศล มีพยานสิ่งศักดิ์สิทธ์เทวดา และผู้ มีอำนาจลี้ลับ เป็นผู้ดูแลการทำงานให้สำเร็จ ซึ่งเป็นการสร้างบุญกุศลแก่ชาวบ้าน ส่วนสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีไหลเรือไฟนั้น คือ
ท่าน้ำชี
ซึ่งต้องมีลักษณะเป็นโนนดินสูง
เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าเมื่อตนเองตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สูงๆ
-
ปราสาทผึ้ง หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ต้นดอกเผิ่ง”
เป็นความเชื่อที่ชาวบ้านเชื่อว่าปราสาทผึ้งเป็นบ้านของตัวเราเอง
หากนำใส่เรือไฟจะเป็นการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว ทั้งยังเป็นการสร้างที่อยู่อาศัยให้กับตนเองในเมื่อคราวที่ตนเองต้องตายจะได้มีวิมานบนสวรรค์
(เพราะชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าเมื่อตายไปจะได้อยู่บนสวรรค์)
-
บังสุกุล ได้แก่ เสื้อผ้า
หมอน เสื่อ เป็นต้น
ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้อง ทั้งยังเป็นการส่งบังสุกุลนี้ให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องได้ใช้ในภพภูมิที่พวกเขาอยู่
- เทียน ธูป
และดอกไม้
เป็นเครื่องบูชาพระแม่คงคาในแม่น้ำชีเพื่อเป็นสัญญาณที่ชาวบ้านต้องการให้แม่คงคานำสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆที่บรรจุอยู่ในเรือไฟนั้นไปส่งให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ได้ตายไปแล้ว พร้อมทั้งเชื่อว่าเป็นแสงสว่างในการทำทางชีวิตให้ดำเนินชีวิตไปได้โดยราบรื่น
- เสบียงอาหาร
เช่น ข้าว ปลาร้า
มะพร้าว อ้อย และอื่นๆ
เป็นความเชื่อด้านการอุทิศกุศลและการส่งอาหารให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้อง
เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องลำบากแต่มีอาหารให้กินอย่างสมบูรณ์
- ไม้ไผ่
และต้นกล้วย เป็นความเชื่อด้านการสร้างความมั่นคงในวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน
เชื่อว่าได้สร้างเกราะป้องกันภัยอันตรายต่างๆทั้งที่เกิดจากอำนาจลี้ลับที่มองไม่เห็นหรือภัยรอบตัวให้แก่ตนเอง และเป็นการสร้างรากฐานชีวิตที่ไม่ต้องประสบกับความยากลำบาก
- ปัจจัย
คือความเชื่อในการบริจาคทานเพื่อเป็นทุนทรัพย์ของชีวิตในภพภูมิหน้า
รวมถึงการคาดหวังให้มั่งมีในการประกอบอาชีพในปัจจุบัน
- เส้นผม
เล็บ
ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นการนำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกจากชีวิตของตนเอง เป็นการปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้หายไป
องค์ประกอบของเรือไฟ |
ความเชื่อในแนวปฏิบัติในการไหลเรือไฟ
แนวปฏิบัติในการไหลเรือไฟของชาวบ้าน คือ
การอธิษฐานบอกกล่าวทั้งเทพเทวาอารักษ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ที่สำคัญคือพระแม่คงคา
ด้วยความเชื่อที่ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าเป็นการอ้อนวอน ขอความเมตตา
ขอความช่วยเหลือให้อำนาจดังกล่าวบันดาลดลให้ชีวิต
และคำอธิษฐานต่างๆที่ปรารถนาของชาวบ้านนั้นเป็นจริง
ทั้งยังเชื่อว่าเป็นการติดต่อสื่อสารกับอำนาจลี้ลับเหล่านั้นด้วยความสำรวม เคารพ
ซึ่งหากชาวบ้านได้อธิษฐานบอกกล่าวแล้วชีวิตย่อมจะพบกับความสุข ความเจริญ
นอกจากนี้แนวปฏิบัติในการไหลเรือไฟยังมี การตัดเล็บ
นำเส้นผม
หรือเอาปั้นข้าวเหนียวมาจ้ำๆตามบริเวณ หรือส่วนต่างๆของร่างกายที่ไม่สบาย แล้วนำไปไว้ในเรือไฟ เพราะชาวบ้านชาติเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการนำสิ่งไม่ดี นำสิ่งชั่วร้าย ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้หายไปจากชีวิตของตน
ซึ่งเป็นการบรรเทาทุกข์และปัดเป่าภัยอันตรายให้หนีไปในขณะที่กำลังประกอบอาชีพนั่นเอง
วิถีปฏิบัติของชาวบ้าน ที่แสดงออกถึงความเชื่อกับการไหลเรือไฟ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น